Saturday, March 1, 2008

31-Jan-2008 วันแรกในห้อง ไอ.ซี.ยู.

บล็อกนี้ ผมตั้งใจจะบันทึกเพื่อเป็นความทรงจำ สำหรับช่วงเวลาที่น่าเศร้าสำหรับครอบครัวของผม จึงอยากจะเก็บไว้เป็นสิ่งเตือนใจพวกเรากันเองภายในครอบครัว แม้ว่าจะเป็นช่วงที่พวกเราทุกคนเศร้าใจที่น้องปอนด์ หลาน ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของทุกๆ คนในครอบครัว ต้องมาป่วยหนัก และใช้ชีวิตอยู่ในห้อง ไอ.ซี.ยู. เป็นระยะเวลาเกินหนึ่งเดือนแล้ว แต่พวกเราก็ได้รับรู้ว่าพวกเรายังคงเข้มแข็ง และมีความรักซึ่งกันและกันอย่างเหนียวแน่น

น้องปอนด์เริ่มมีอาการซึม พูดน้อย ทานข้าวได้น้อย และหายใจถี่ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา น้องปอนด์แทบไม่ได้ป่วยอะไรเลยตลอดระยะเวลากว่าสามปีที่ผ่านมา และอย่างมากก็เป็นหวัดนิดหน่อย เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนที่มักจะป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลเป็นอาทิตย์ๆ และมักจะมีอาการเสมหะอุดตันหลอดลม ต้องใช้ยาขยายหลอดลม Sibutrimal มาช่วย ซึ่งไม่ได้ใช้มานานมากแล้ว

ในครั้งนี้ไม่ได้มีอาการของเสมหะอะไรเลย เราจึงไม่คิดว่าเป็นอะไรมาก ได้แต่ตั้งข้อสังเกตว่า อาจจะเป็นเพราะกระดูกสันหลังคดเป็นรูปตัว S มากขึ้นมั้งจึงได้กดทับปอด และหายใจลำบากขึ้น จนกระทั่งคิดว่าพาไปหาหมอดีกว่า เพราะอาการไม่ได้ดีขึ้น และไม่ได้มีอาการของหวัด หรือเสมหะแต่อย่างใด จึงอยากจะปรึกษาหมอเพื่อขอคำแนะนำ

ปรากฎว่า เมื่อได้พบคุณหมอ ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง (ขอไม่เอ่ยนามนะครับ) ระหว่างรอพบคุณหมอ นางพยาบาลได้มีเครื่องสำหรับตรวจชีพจรและระดับออกซิเจนในเลือด แล้วตกใจ เพราะหัวใจเต้นเร็วประมาณ 130 กว่า และระดับออกซิเจนอยู่แค่ 40-50 เท่านั้น (ในคนปกติหัวใจเต้นอยู่ราวๆ 60-80 และระดับออกซิเจนอยู่ช่วง 95 ขึ้นไป) เมื่อคุณหมอได้เห็นจึงบอกให้รีบเอาไปให้ออกซิเจนโดยด่วน เพราะออกซิเจนในเลือดต่ำมากๆ

หลังจากให้ออกซิเจนได้สักพักใหญ่ ระดับออกซิเจนเพิ่มขึ้นมาเป็นราวๆ 90 คุณหมอแนะนำให้พ่นยาขยายหลอดลม ปรากฎว่าน้องปอนด์หายใจไม่ทัน และระดับออกซิเจนลดต่ำลงไปอีกครั้ง และมีอาการไม่รู้สึกตัว ทางทีมคุณหมอและพยาบาลจึงรีบส่งน้องปอนด์เข้าไปห้องไอซียู ตั้งแต่ช่วงบ่ายของวันที่ 31 ม.ค. 2551 ที่ผ่านมา

วันนั้นนอกจากน้องปอนด์ กับผม ซึ่งเป็นอากู๋แล้ว ก็มีพี่ๆ ของผม ซึ่งเป็นแม่ของน้องปอนด์ และพี่สาวอีกคนซึ่งเป็นอาอี๊ ของน้องปอนด์ไปที่โรงพยาบาลด้วย ปกติแล้ว อาอี๊ จะเป็นคนที่ดูแลน้องปอนด์มากที่สุด จึงสนิทสนมกันมากๆ และเป็นคนที่ทั้งป้อนข้าว อาบน้ำ และอื่นๆ สารพัด ในระหว่างที่แม่น้องปอนด์ต้องออกไปทำงาน ที่บ้านของเราทำธุรกิจเล็กๆ ที่พออยู่ได้และทำให้พวกเรามีเวลาดูแลหลานซึ่งเป็นเด็กต้องการการดูแลเป็นพิเศษได้

พวกเราเป็นห่วงน้องปอนด์มาก เพราะไม่เคยมีใครในครอบครัวที่ต้องเข้าไอซียู เลย และคุณหมอก็พูดในทำนองว่า ทำใจด้วยนะ ที่ต้องเข้าไอซียู นี่แปลว่าหนักมากแล้วนะ พวกเราน้ำตาซึมกันทุกคน เพราะงง.. ว่าอะไรหว่า.. เมื่อเช้าก็ยังดีๆ อยู่ ทำไมถึงได้ทรุดลงเร็วขนาดนี้ แปลกมากๆ และคงทำใจไม่ได้ถ้าหากจะต้องเกิดอะไรร้ายแรงขึ้น

อาการน้องปอนด์ไม่ดีขึ้น คุณหมอท่านแรกได้พยายามอธิบายว่า จะต้องสอดท่อเข้าทางปากเพื่อใช้เครื่องช่วยหายใจแล้วนะ.. พวกเราก็ตกใจอีก ว่ามันร้ายแรงขนาดนั้นเลยหรือ? แต่เอาไงก็เอา ต้องเชื่อคุณหมอแล้วล่ะตอนนี้.. ปรากฎว่าคุณหมอท่านแรกสอดท่อไม่เข้า เพราะน้องปอนด์มีรูปร่างไม่ปกติ จึงต้องตามคุณหมออีกแผนกหนึ่งที่ถนัดในการให้ยาสลบมาช่วยสอดท่อหายใจให้น้องปอนด์ จึงสามารถสอดได้ และทำให้น้องปอนด์มีระดับต่างๆ ที่ดีขึ้น และมีสติที่ดีขึ้น แต่นั่นก็ทำให้เราไม่ได้ยินเสียงของน้องปอนด์อีกเลยตั้งแต่วันนั้น ซึ่งปกติน้องปอนด์จะเป็นเด็กช่างพูด เสียงเจื้อยแจ้วอยู่ทั้งวัน แต่จนถึงวันทีผมเขียนบันทึกอยู่นี้ เราไม่ได้ยินเสียงของน้องปอนด์อีกเลย...

No comments: